วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฤา หงส์ อยากได้โทรฟี่ มากกว่า ความภาคภูมิ !!!

ต้องยอมรับโดยดุษฎี ว่า การเริ่มต้นขีดเขี่ยบทความชิ้นนี้ หาได้เกิดโดยง่ายนัก
เพราะหลายสาเหตุที่มันจุก มันสะเทือนความรู้สึกจนยากบรรยาย บวกกับความอลหม่านทางความคิด

การเขียนด้านร้ายๆ ของสโมสร ก็หาใช่เรื่องที่ตัวเองถนัด โดยเฉพาะ พ.ศ. นี้ ที่ความหลากหลายทางความคิดมากมี
แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามอย่างที่สุด ที่จะเขียนออกมา เพื่อให้ทุกคนรับทราบ ถึงความผิดหวังต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

...............................................................................

บัดซบ...

นี่หาใช่คำสบถที่หลุดปากออกมาเมื่อค่ำคืนก่อน ในวันที่เราเปิดศึกแดงเดือด ณ โรงปาหี่โสโครก นั่นไม่
หากแต่มันหลุดจากปากผมมาตั้งแต่ค่ำคืนวันที่ 4 มกรา วันที่ผู้บริหารยอมรับชะตากรรมกรณี ซัวร์เหยิน

มีหลายคนหล่นความคิดว่านั่นเป็นแผน ยอมรับกันไปก่อน และย้อนกลับไปเล่นงาน เอฟเอ ทีหลัง ที่ศาลโลก
แต่การณ์กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แถมท่าทีของสโมสรกลับนิ่งงัน และ ไร้ยุทธวิธีที่ชาญฉลาดในการต่อสู้

ขณะที่มุมมองของผม กลับเริ่มเป็นปฏิปักษ์กับเหล่าผู้บริหารอย่างช่วยไม่ได้ นี่ไม่ใช่แนวทางของสโมสรที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต
การหันหลังให้ความถูกต้อง การงอมืองอเท้าให้ความอยุติธรรม หาใช่สิ่งที่เราถนัดแม้แต่น้อย

ดูทั้ง เฮย์เซล และ ฮิลโบโร่ เป็นตัวอย่างได้ ... มันมีซักวันไหม !!! ที่เราเลิกเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเหล่าแฟนบอล์ล
การลอยแพนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งของสโมสรให้เผชิญกับปัญหาอย่างเดียวดาย นี่หรือ คือ สิ่งที่สโมสรควรกระทำ !!!

...............................................................................

บัดซบที่สุด...

หากเรื่องราวต่างๆ ถึงขั้นเลวร้าย เรื่องน่าสะอิดสะเอียนที่สุด คือการออกมากระทืบลูกน้องโชว์ศัตรู ของผู้บริหารอย่าง Ian Ayre
สงสัยนิด.. ว่า เมิงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ... กับกรณีนี้ แทนที่จะปกป้องซึ่งกันและกันกลับออกมากระโดดถีบหน้า ซะอย่างนั้น

ปรมาจารย์ อย่าง บิล แชค์ลี่ย์ เคยกล่าว ว่า

“At a football club, there's a holy trinity - the players, the manager and the supporters.
Directors don't come into it. They are only there to sign the cheques”

“ที่สโมสรฟุตบอลมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่สามสิ่ง นักเตะ, ผู้จัดการทีม, และ ซัพพอร์ทเตอร์
ผู้อำนวยการไม่ได้อยู่ในสามสิ่งนี้ พวกเขามีหน้าที่เซ็นเช็คแค่เท่านั้น”


แล้วคนอย่าง Ian Ayre หรือ แม้แต่ผู้บริหาร John W. Henry และ Thomas C. Werner ควรทำตัวส้นติง แบบไหน !!!
มันบ้าบอ และ ไร้สาระสิ้นดี กับ กระบวนความคิด และ ผลผลิตจากสมองของคนเหล่านี้

ทุกเรื่องราวล้วนแขวนตัวผูกติดกับผลประโยชน์ จนเลือกที่จะลืมเลือนมโนธรรม และ จิตใต้สำนึกด้านดีอย่างสิ้นเชิง

...............................................................................

ผมไม่เคยนึกเลย ว่า เมื่อถึงวันนี้ คำอย่าง You’ll Never Walk Alone. กลับเหลือค่าแค่เครื่องหมายการค้าในสายตาผู้บริหาร
มันหาใช่สิ่งยึดเหนี่ยว หาใช่สิ่งหลอมรวมศรัทธาให้พวกเราพร้อมเผชิญ และ ยื่นมือช่วยเหลือกันและกัน อีกต่อไป

อย่างดี.. มันอาจเป็นแค่วลีเด็ดๆ เอาไว้ หาแดก หลังตกลงสัญญาเพื่อเม็ดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งดูแล้วมันน่าคลื่นเหียน
เพราะสิ่งที่ผู้บริหารเลือกกระทำตั้งแต่วันที่ 4 ช่างเป็นเรื่องบ่งชี้ได้ดี ว่า ทุกสิ่งที่เลือก นั่นคือ ความชัดเจนด้านธุรกิจ

ยิ่งการออกมาตอกย้ำบ่งชี้ว่า ซัวร์เหยิน ผิดต่อหน้าสื่อ กับกรณีหลัง ยิ่งถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

...............................................................................

ผมออกจะไม่แปลกใจซักนิด กับ ท่าทีของ ซัวร์เหยิน กับ ค่ำคืนวันก่อน หลังเห็นปฏิกิริยาความสารเลวของ เอฟร่า
เอาเป็นว่าถ้าไอ้เหียกนั่นไม่ลดมือ และ มีหัวใจของลูกผู้ชายมากกว่าความเป็นตุ๊ด ยังไงงานนี้ ซัวร์เหยิน ของเราก็จับ

แต่เพราะสันดานของมันบวกกับความเลวระยำที่เป็นพื้นฐานของทีม จึงไม่น่าตื่นเต้นด้วยประการทั้งปวง
แถมท้ายด้วยการมีคนใจหมาเป็นผู้กุมบังเหียน ซึ่งน่าจะมีการเตี๊ยมกันมาพอสมควร งานนี้เราจึงหล่นหลุมพรางไม่ยากส์

ถามหน่อย ไอ้เรื่องแมนไม่แมน ถูกหรือผิด ... คนไม่ถูกกระทำคนใดในโลกนี้สามารถการันตี
ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มันเลือนหายจากวิจารณญาณไปกันแล้วหรือ... มีแต่เรื่องราวจอมปลอมให้ตีแผ่หรืออย่างไร

การต้องรับโทษ ด้วยข้อกล่าวหา และ ความผิดที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ ยังทำร้ายตัวนักเตะ และ ครอบครัว ไม่พอหรือ !!!
สรรพคำถามเกี่ยวกับสถานะภาพและหัวใจของผู้บริหารยังวนเวียนไม่รู้จบ !!! ฤา เราต้องถึงคราวสิ้นมนต์ขลัง

...............................................................................

ผมมักบอกผู้คนอยู่เสมอ ว่า การได้รู้จัก ลิเวอร์พูล มันได้อะไรมากมาย มากกว่าการเป็นเต้ยในโลกฟุตบอล์ลอังกฤษ
หากคุณขุดค้นหาประวัติความเป็นมา การพูดจาและสืบสาวเรื่องเล่าขาน บวกกับถ้อยคำของผู้เป็นอดีต

สิ่งต่างๆ มากมายจะทำให้คุณได้รู้ซึ้งและซึมซับ รอยทางของลิเวอร์พูล ได้อย่างใม่ยากเย็น และ มันพร้อมจะเข้าสายเลือดอย่างไม่ตั้งใจ
เพราะมันมีแง่มุมงดงาม มีพฤติกรรมที่ควรเอาแบบอย่าง และมีถ้อยคำที่กระตุ้นเตือนให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี

ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ในมุมมองของตัวเอง มันกลับมีค่ามากยิ่งกว่าโทรฟี่ทั้งหลายที่ประดับประดาอยู่ในตู้ที่สโมสร
แต่ ณ พ.ศ.นี้ ผมกลับไม่แน่ใจ ว่า จะเหลือความภาคภูมิใดๆ ไว้เล่าขาน เพราะสิ่งที่เคยเป็นมันกำลังไม่เหลือ

รวมถึงหากสโมสรยังคงดำเนินการด้วยรอยทางแบบนี้ อาจตัดสินใจอยู่ห่างซักพัก อย่างน้อยก็เก็บความทรงจำงดงามเก่าก่อน
หากเม็ดเงินมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาสู่สโมสร สำหรับการกรุยทางสู่ถ้วยรางวัล แต่ต้องแลกกับความภาคภูมิอย่างที่ควรเป็น

ขอโทษที่ต้องบอกว่า ... “กลับไปอเมริกา ซะ .. ไอ้ส้นตรีน ... กูไม่ต้องการ”

ด้วยจิตคารวะ

เซียวลี้ปวยตอ